ภาพสไลด์

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

5 อันดับ บุคคลลึกลับที่สุดแห่งโลก

อันดับ 5 D. B. Cooper
Image
ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง (FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร
เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล
แม้ การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาหน้าที่แท้จริง ไม่ มใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้
เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด
อันดับ 4 Comte St Germain
Image
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน
เป็น ที่ปรึกษาข้อราชการของกษัตริย์หลาย พระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman” แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนนั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เริ่มปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง จึงหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784
อันดับ 3 The Man in The Iron Mask
Image
ความ จริงเรื่องชายหน้ากากเหล็กนั้น เป็นวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศสนาม อเล็กซองด์ ดูมาส์ เขียนขึ้นเมื่อปี 1848 ถูกนำไป สร้างภาพยนตร์หลายครั้งแล้วโดยเรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ใน ปี 1703 มีชาย ลึกลับคนหนึ่งเสียชีวิตในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี และเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก สีเข้มมีจดหมายที่เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสเขียนถึงพระสหายในอังกฤษว่า “มีชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดถูกจองจำ มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้นทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่มิห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแน่ เพราะว่าเขาจะถูกขังคุก แต่เขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ ………….”
เขาคือใคร?
จากประวัติที่ สืบสาวกันมา เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้ าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่อง ราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขา ด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเอขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย”
หลัง จากนั้นไม่กี่ปี แซงต์ มาร์ ก็ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่น แต่ยังรับมอบหมายให้ย้ายนักโทษลึกลับนี้ไปอยู่ด้วยกันเสมอ และการย้ายแต่ละครั้ง เขาต้องอยู่ ที่เกี๊ยวที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง จนบางครั้งแซงต์ มาร์เกรงว่านักโทษจะตายในเกี๊ยวเหมือนเตาอบเสียก่อ
ว่า กันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ชายหน้ากากเล็กนั้นพยายามที่จะสื่อสารกับคนภายนอกโดยการเขียนข้อความบน แผ่นโลหะแล้วโยนออกไปจากหน้าต่างที่คุมขังของเขา เผอิญมีชาวประมงคนหนึ่งมาพบเห็น จึงนำของสิ่งนี้ให้กับผู้คุมคุกโดยเห็นว่าอาจเป็นของสำคัญ และทันทีที่ผู้คุมเห็นข้อความนี้ก็จะลงมือตัดศีรษะชาวประมงคนนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ชาวประมงนี้อ่านหนังสือไม่ออกจึงปล่อยไป
งานของ แซงค์ มาร์ ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งปี 1698 เขาได้รับตำแหน่งใหญ่ประจำคุกบาสตีล แห่งนครปารีส แต่ภารกิจในการกักขังและปกปิดชายหน้ากากเหล็กยังมีอยู่ พร้อมกับปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนา และมีข้อสันนิษฐานที่เป็นยอมรับทุกฝ่ายคือ เขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ
ถ้าเป็นในหนัง หรือในนิยายเชื่อกันว่าชายสวมหน้ากากเหล็กนี้คือ พี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดย ทั้งสองเป็นบุตรของดาตัญญัง หัวหน้าราชองครักษ์กับพระราชินีแอนน์แห่งออสเตรีย โดยสาเหตุที่จองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่เกิด ความมั่งคงนั้นเอง
หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิก ส์วูด เชื่อว่าชายสวมหน้ากากเหล็กก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเองจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ สุดยอดภายใต้ชายหน้ากากเหล็กตลอดกาล
แต่ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับชายหน้ากากเหล็กจึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า
แม้จนบัดนี้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่ปริศนาชายสวมหน้ากากเหล็กยังไร้คำตอบตายตัว ทราบแต่ว่าหลังจากชายหน้ากากเหล็กสิ้นชีวิตลงในคุกบาสตีล ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ สูญหายหมด ห้อ งคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น
แม้แต่หน้ากากเหล็กก็ถูก นำไปหลอมใหม่เพื่อยุติการสืบค้นตำนานของชายที่ยังเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้
อันดับ 2 Gil Perez
Image
Gil Perez เป็นชื่อของทหารสเปนลึกลับที่จู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวที่เมืองเม็กซิโก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1593 เขาแต่งเครื่องแบบแปลกๆ เขาได้อ้างว่าเขาถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งพัดพาเขามายังประเทศนี้
เรื่อง นี้เป็นเล่าเก่าแก่ ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ ส่วน เขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ โดยเขาอ้างหลักฐานตนเองว่าที่ฟิลิปปินส์ผู้ว่าที่เขาประจำที่นั้นถูกลอบ สังหาร หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยืนยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ อีกทั้งผู้โดยสารเรือบางคนก็อ้างว่ารู้จักกับ Gil Perez และสาบานได้ว่าเห็นเขาอยู่ในฟิลปปินส์เมื่อวันที่ 23
สุดท้าย Gil Perez ก็ได้กลับฟิลิปปินส์และชีวิตหลังจากนั้นของเขาก็หายไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาอีกเลยจัดกระทั่งบัดนี้ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ลึกลับนี้ซึ่งสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเทเลพอเทชั่น (Teleportation) พลังลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลาง ทั้งยังบังคับได้จากระยะไกล
เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้ นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนในเวลาต่อมา
อันดับ 1 Green Children of Woolpit
Image
บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและที่ ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก
พวกชาวนาพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็ก สองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้านทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้าน ของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน
ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนคนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิง กลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆ จางลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น
เธอ บอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”
นั่น คือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ
นี้ เป็นเรื่องจริงปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต หรือเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่??**

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

โลกสวย ด้วยมือเรา

ณ วันนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธอีกต่อไปว่า โลกกำลังเข้าขั้นวิกฤติ เสมือนโลกกำลังเป็นโรคพุ่มพวงที่ภูมิต้านทานกำลังกัดกินตัวเองอยู่ ไม่มีใครจะสามารถช่วยโลกได้อีกต่อไปถ้ามนุษย์ที่เป็นเจ้าของบ้านไม่ช่วยตัวเองด้วยการหยุด “เผา” หรือเติมเชื้อไฟที่จะทำลายให้ภูมิต้านทานของโลกต่ำลงไปกว่านี้ หลักการง่ายๆ คือใช้ชีวิตที่รู้จัก “พอ” และลงมือสร้างโลกสวยอีกครั้งด้วยมือเราเอง อาจารย์ยักษ์ขอเสนอแนะวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

 1.ปลูกต้นไม้อย่างน้อยคนละต้น 66 ล้านคน อย่างน้อยเราจะได้ต้นไม้ 66 ล้านต้นที่จะเพิ่มออกซิเจนให้แก่โลก ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมือง คอนโด หรือบ้านถ้าตั้งใจจะปลูกต้นไม้ก็คงมีวิธีปลูกจนได้ แม้กระทั่งประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีแต่ตึก คนสิงคโปร์ก็เริ่มโครงการปลูกข้าวบนตึกสูงแล้ว 
2.สนับสนุนอาหารไร้สารพิษ เพื่อหยุดการปลูกที่ต้องอาศัยสารเคมีและยาฆ่าแมลง ตัวการทำลายดินและทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อนสารพิษ เมื่อคนหยุดซื้ออาหารที่มีสารพิษ คนผลิตก็จะหยุดผลิตไปเอง
   1.ปลูกต้นไม้อย่างน้อยคนละต้น 66 ล้านคน อย่างน้อยเราจะได้ต้นไม้ 66 ล้านต้นที่จะเพิ่มออกซิเจนให้แก่โลก ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมือง คอนโด หรือบ้านถ้าตั้งใจจะปลูกต้นไม้ก็คงมีวิธีปลูกจนได้ แม้กระทั่งประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีแต่ตึก คนสิงคโปร์ก็เริ่มโครงการปลูกข้าวบนตึกสูงแล้ว
 2.สนับสนุนอาหารไร้สารพิษ เพื่อหยุดการปลูกที่ต้องอาศัยสารเคมีและยาฆ่าแมลง ตัวการทำลายดินและทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อนสารพิษ เมื่อคนหยุดซื้ออาหารที่มีสารพิษ คนผลิตก็จะหยุดผลิตไปเอง
3.รู้จักรีไซเคิล “น้ำ” หลายประเทศการใช้น้ำของครัวเรือนถูกกฎหมายเข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น ประเทศออสเตรเลีย การใช้สายยางฉีดน้ำสะอาดมือหนึ่งรดน้ำต้นไม้หรือล้างรถถือว่า “ผิดกฎหมาย” ในประเทศอังกฤษ ฉี่ 5 ครั้ง จึงจะกดชักโครก 1 ครั้ง ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ถือเป็นธรรมเนียม “อาบน้ำ 1 เพลงจบ” เมื่อเข้าห้องน้ำอาบน้ำพอเพลงจบก็ควรต้องออกจากห้องน้ำแล้ว ใครที่อยู่ห้องน้ำใช้น้ำนานเป็นชั่วโมงจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของคนอื่น สำนึกในการใช้น้ำอย่างระมัดระวังถือเป็นสำนึกร่วมกันของสมาชิกทุกคน ทางการก็จะเตือน “วิกฤติระดับน้ำ” ให้ประชาชนรู้ทุกวัน ไม่รู้ว่าประเทศไทยคนโชคดีหรือขาดสำนึก การใช้น้ำจึงยังฟุ่มเฟือย เรามักจะเห็นพฤติกรรมที่ปล่อยให้น้ำไหลล้นอ่างลงคูโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร น้ำล้างผัก น้ำล้างจาน น้ำจากการซักผ้า แม้กระทั่งน้ำที่เราอาบควรถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ระบบบ่อพักน้ำที่ใช้แล้ว ควรถูกนำกลับมาเป็นวิถีชีวิตในบ้านอีกครั้งเพื่อลดการใช้น้ำ “มือหนึ่ง” ที่ต้องผ่านการผลิตราคาแพง 
4.กำจัดขยะ ณ จุดเริ่มต้นคือที่บ้าน เพราะการหมักหมมของขยะคือแหล่งที่มาของก๊าซ “มีเทน” ตัวการสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน แต่มาตรการที่สำคัญที่สุดคือ การลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุดด้วยการ “ซื้อแต่พอดี กินแต่พอดี” จำไว้ว่า การผลิตอาหารทุกชนิดใช้ปุ๋ย ใช้ดิน ใช้พลังงาน ใช้น้ำ การใช้ล้นเกิน หรือกินล้นเกิน จึงเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในการผลิตและการกำจัด แต่เมื่อมีขยะ จำเป็นต้องเรียนรู้ตั้งแต่การแยก และการกำจัดเองในบ้าน เพื่อลดการหมักหมมจนเกิดก๊าซมีเทน และลดการขนส่งเพื่อนำไปกำจัดซึ่งต้องสูญเสียพลังงานอีก วิธีการง่ายๆ ของการกำจัดขยะ ณ จุดเริ่มต้นคือ การนำขยะ “สด” กลับมาเป็นปุ๋ยใหม่ด้วยวิธีการหมักแบบชีวภาพ

 เห็นไหมว่า “ความสบาย” ทำให้มนุษย์ลำบาก คงถึงเวลาที่คนยุคเราจะต้อง “ลำบาก” อีกครั้งเพื่อให้ลูกหลานเราได้สบาย เข้าตำรา ถ้าตั้งตนอยู่ในความลำบาก “กุศลธรรม” เจริญ ถ้าตั้งตนอยู่ในความสบาย “อกุศลธรรม” เจริญ
"อาจารย์ยักษ์ มหาลัยคอกหมู"

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก

บรรยากาศของโลกเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา (Dynamic) ภูมิอากาศของโลกจึงมีการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงเวลาสั้นบ้างยาวบ้าง ขึ้นอยู่กับปัจจัยสาเหตุนานาประการ ตัวอย่างเช่น การระเบิดของภูเขาไฟทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงช่วงเดือนหรือปี การพุ่งชนของอุกาบาตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิบปี การเพิ่มขึ้นของมลภาวะทางอากาศก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนับศตวรรษ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรและขนาดของแผ่นน้ำแข็ง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของวงโคจรโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นคาบนับล้านปี การเคลื่อนที่ของทวีปและการเปลี่ยนพลังงานจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนับพันล้านปี


ปัจจัยที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยที่ทำให้ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง มีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกได้แก่ พลังงานจากดวงอาทิตย์ และวงโคจรของโลก ปัจจัยภายในได้แก่ การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของก๊าซในบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลก ซึ่งพอสรุปรวมได้ดังนี้
image พลังงานจากดวงอาทิตย์
image วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
image องค์ประกอบของบรรยากาศ
image อัลบีโด หรือความสามารถในการสะท้อนแสงของบรรยากาศ และพื้นผิวโลก
image น้ำในมหาสมุทร
image แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
image การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
ทุกปัจจัยที่กล่าวมามีผลกระทบต่อบรรยากาศโลกโดยตรง และมีผลกระทบต่อกันและกัน ซึ่งยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาพรวม
ความแปรปรวนของแสงดวงอาทิตย์
พลังงานจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์มีขนาดไม่คงที่ ในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กและมีแสงสว่างน้อยกว่าปัจจุบัน ดวงอาทิตย์ขยายตัวใหญ่ขึ้นเนื่องจากการเผาไหม้ก๊าซไฮโดรเจนที่อยู่ภายใน เมื่อพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น ความสว่างก็ยิ่งมากขึ้นด้วย อีกประมาณ 5 พันล้านปี ดวงอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่เท่าวงโคจรของดาวอังคาร
นอกจากนี้ปริมาณและพื้นที่ของจุดบนดวงอาทิตย์ (Sunspots) ในแต่ละวันยังไม่เท่ากัน ดวงอาทิตย์จะมีจุดมากเป็นวงรอบทุกๆ 11 ปี สิ่งนี้มีผลกระทบต่อพลังงานที่โลกได้รับด้วย
วัฏจักรมิลานโควิทช์
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์ชาวเซอร์ เบียชื่อ มิลูติน มิลานโควิทช์ (Milutin Milankovitch) ได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกเป็นคาบเวลาระยะยาว เกิดขึ้นจากปัจจัย 3 ประการคือ
1. วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ เปลี่ยนแปลงขนาดความรี (รีมาก – รีน้อย) เป็นวงรอบ 96,000 ปี เมื่อโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์อุณหภูมิก็จะสูงขึ้น เมื่อโลกอยู่ไกลอุณหภูมิก็จะต่ำลง
2. แกนหมุนของโลกส่าย (เป็นวงคล้ายลูกข่าง) รอบละ 21,000 ปี ทำให้แต่ละพื้นที่ของโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน ในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี
3. แกนของโลกเอียงทำมุมระหว่าง 21.5 – 24.5 องศา กับระนาบของวงโคจรโลกรอบดวงอาทิตย์ กลับไปมาในคาบเวลา 41,000 ปี แกนของโลกเอียงเป็นสาเหตุทำให้เกิดฤดูกาล ปัจจุบันแกนของโลกเอียง 23.5 องศา หากแกนของโลกเอียงมากขึ้น ก็จะทำให้ขั้วโลกได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้นในฤดูร้อนและน้อยลงในฤดูหนาว ซึ่งมีผลทำให้ฤดูร้อนและฤดูหนาวมีอุณหภูมิแตกต่างกันมากขึ้น
กราฟในภาพที่ 3 แสดงให้เห็นอิทธิพลของปัจจัยทั้งสามทำให้ภูมิอากาศโลกมีอุณหภูมิสูงและต่ำสลับกันไปเป็น วัฏจักร โดยที่แต่ละคาบนั้นมีระยะเวลาและความรุนแรงไม่เท่ากัน
องค์ประกอบของบรรยากาศ 
สัดส่วนของก๊าซในบรรยากาศ ไม่ใช่สิ่งคงตัว แต่ก่อนโลกของเราเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซออกซิเจนเพิ่งจะเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์อาหารด้วยแสงของคลอโรฟิลล์ในสิ่งมีชีวิตเมื่อประมาณ 2 พันปีที่แล้วมานี้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทสิ่งมีชีวิต) ก๊าซบางชนิดมีผลกระทบต่ออุณหภูมิของบรรยากาศโดยตรง เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน เนื่องจากเป็นก๊าซเรือนกระจก ก๊าซบางชนิดไม่มีผลกระทบต่ออุณหภูมิของบรรยากาศโดยตรง แต่จะมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและองค์ประ กอบทางเคมีของบรรยากาศ เช่น ก๊าซออกซิเจน ก๊าซโอโซน
น้ำในมหาสมุทร
น้ำในมหาสมุทรมีหน้าที่ควบคุมภูมิอากาศโดยตรง ความชื้นในอากาศมาจากน้ำในมหาสมุทร ความเค็มของน้ำทะเลมีผลต่อความจุความร้อนของน้ำ การไหลเวียนของน้ำในมหาสมุทรจึงมีผลกระทบต่อภูมิอากาศบนพื้นทวีปโดยตรง ระบบการไหลเวียนของน้ำใต้มหาสมุทรที่เรียกว่า แถบสายพานยักษ์ (Great conveyor belt) สร้างผลกระทบต่อภูมิอากาศโลก เป็นวงรอบ 500 2,000 ปี
อัลบีโด
อุณหภูมิของพื้นผิวและบรรยากาศของโลกจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการดูดกลืนและสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์ แผ่นน้ำแข็ง ก้อนเมฆ สะท้อนรังสีคืนสู่อวกาศ และฝุ่นละอองที่แขวนลอยในอากาศ ทำให้พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิต่ำ ขณะที่ป่าไม้และน้ำดูดกลืนพลังงาน ทำให้พื้นผิวมีอุณหภูมิสูง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิว ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิด้วย (รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่อง สมดุลของพลังงาน)
แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
ร้อยละ 75 ของน้ำจืดบนโลก สะสมอยู่ที่เกาะกรีนแลนด์ ในมหาสมุทรอาร์คติก และบนทวีปแอนตาร์คติก ในรูปของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก หากแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกทั้งสองละลายหมดจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 66 เมตร พื้นที่เกาะและบริเวณชายฝั่งจะถูกน้ำท่วม อัลบีโดของพื้นผิวและปริมาณความร้อนที่สะสมอยู่ในน้ำทะเลจะเปลี่ยนแปลงไป และส่งผลกระทบต่อภูมิอากาศ
การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
เปลือกโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเป็นวัฏจักรต่อเนื่อง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่อง วัฏจักรวิลสัน ในบทธรณี) กระบวนการธรณีแปรสันฐาน หรือ เพลตเทคโทนิคส์ (Plate Tectonics) เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างบนผิวโลก อันเป็นปัจจัยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เช่น ก๊าซจากภูเขาไฟ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของบรรยากาศ ฝุ่นละอองภูเขาไฟกรองรังสีจากดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอัลบีโด และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
การศึกษาบรรยากาศของโลกในอดีต
ในการพยากรณ์อากาศนั้น นักอุตุนิยมวิทยาได้ข้อมูลอากาศมาจากสถานีตรวจอากาศภาคพื้น ประกอบกับข้อมูลจากบอลลูน เครื่องบิน และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา แต่ทว่าในการสืบค้นข้อมูลสภาพอากาศในอดีตนับหมื่นหรือแสนปีนั้น นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาจากฟองก๊าซซึ่งถูกกักขังไว้ในแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก เมื่อหิมะตกลงมาทับถมบนพื้นผิว มันจะมีช่องว่างสำหรับอากาศ กาลเวลาต่อมาหิมะที่ถูกทับถมตกผลึกกลายเป็นน้ำแข็งกักขังฟองก๊าซไว้ข้างใน (ดังที่แสดงในภาพที่ 6) เพราะฉะนั้นแผ่นน้ำแข็งแต่ละชั้นย่อมเก็บตัวอย่างของบรรยากาศไว้ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ยิ่งเจาะน้ำแข็งลงไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ฟองอากาศเก่าแก่โบราณมากขึ้นเท่านั้น วิธีการตรวจวัดเช่นนี้สามารถได้ฟองอากาศซึ่งมีอายุถึง 110,000 ปี สถานีขุดเจาะแผ่นน้ำแข็งเพื่อการวิจัยบรรยากาศที่สำคัญมี 2 แห่งคือ ที่เกาะกรีนแลนด์ ในมหาสมุทรอาร์คติกใกล้ขั้วโลกเหนือ และที่สถานีวิจัยวอสตอค ในทวีปแอนตาร์คติกใกล้ขั้วโลกใต้

โลกของเรามีกี่ประเทศ

โดยหลักเกณฑ์ทางรัฐศาสตร์ ในการกำหนดความเป็นประเทศต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ประการ ดังนี้ ดินแดน ประชากร รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย ซึ่งทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ต้องได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเสียก่อน จึงจะมีสถานะเป็นประเทศที่แท้จริงได้ 


ในปัจจุบันโลกของเรานี้มี 193 ประเทศ แยกตามทวีป ดังนี้

ทวีปเอเชีย มี 48 ประเทศ 1.อัฟกานิสถาน 2.อาร์เมเนีย 3.อาเซอร์ไบจาน 4.บาห์เรน 5.บังกลาเทศ 6.ภูฏาน 7.บรูไนดารุสซาลาม 8.กัมพูชา 9.จีน 10.ไซปรัส 11.จอร์เจีย 12.อินเดีย 13.อินโดนีเซีย 14.อิหร่าน 15.อิรัก 16.อิสราเอล 17.ญี่ปุ่น 18.จอร์แดน 19.คาซัคสถาน 20.เกาหลีเหนือ 21.เกาหลีใต้ 22.คูเวต 23.ตีร์กีซสถาน 24.ลาว 25.เลบานอน 26.มาเลเซีย 27.มัลดีฟส์ 28.มองโกเลีย 29.พม่า 30.เนปาล 31.โอมาน
32.ปากีสถาน 33.ฟิลิปปินส์ 34.กาตาร์ 35.ซาอุดีอาระเบีย 36.สิงคโปร์ 37.ศรีลังกา 38.ซีเรีย 39.ทาจิกิสถาน 40.ไทย 41.ตุรกี 42.เติร์กเมนิสถาน 43.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 44.อุซเบกิสถาน 45.เวียดนาม 46.เยเมน 47.ติมอร์เลสเต และ 48.ไต้หวัน (แต่สหประชาชาติไม่รับรองเป็นประเทศ)


ทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก มี 14 ประเทศ
 1.ออสเตรเลีย 2.ฟิจิ 3.คิริบาตี 4.หมู่เกาะมาร์แชลล์ 5.ไมโครนีเซีย 6.นาอูรู 7.นิวซีแลนด์ 8.ปาเลา 9.ปาปัวนิวกีนี 10.ซามัว 11.หมู่เกาะโซโลมอน 12.ตองกา 13. ตูวาลู 14.วานูอาตู

ทวีปยุโรป มี 43 ประเทศ 1.แอลเบเนีย 2.อันดอร์รา 3.ออสเตรีย 4.เบลารุส 5.เบลเยียม 6.บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 7.บัลแกเรีย 8.โครเอเชีย 9.เช็ก 10.เดนมาร์ก 11.เอสโตเนีย 12.ฟินแลนด์ 13.ฝรั่งเศส 14.เยอรมนี 15.กรีซ 16.ฮังการี 17.ไอซ์แลนด์ 18.ไอร์แลนด์ 19.อิตาลี 20.ลัตเวีย 21.ลิกเตนสไตน์ 22.ลิทัวเนีย 23.ลักเซมเบิร์ก 24.มาซิโดเนีย 25.มอลตา 26.มอลโดวา 27.โมนาโก 28.เนเธอร์แลนด์ 29.นอร์เวย์ 30.โปแลนด์ 31.โปรตุเกส 32.โรมาเนีย 33.รัสเซีย 34.ซานมารีโน 35.สโลวะเกีย 36.สโลวีเนีย 37.สเปน 38.สวีเดน 39.สวิตเซอร์แลนด์ 40.ยูเครน 41.สหราชอาณาจักร 42.นครรัฐวาติกัน 43.เซอร์เบียและมอนเตเนโกร

ทวีปอเมริกาเหนือ มี 22 ประเทศ 1.กัวเตมาลา 2.เกรเนดา 3.คอสตาริกา 4.คิวบา 5.แคนาดา 6.จาเมกา 7.เซนต์คิตส์และเนวิส (เซนต์คริสโตเฟอร์เนวิส) 8.เซนต์ลูเซีย 9.เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ 10.โดมินิกา 11.บาร์เบโดส 12.นิการากัว 13.บาฮามาส 14.เบลีซ 15.ปานามา 16.เม็กซิโก 17.สหรัฐอเมริกา 18.โดมินิกัน 19.เอลซัลวาดอร์ 20.แอนติกาและบาร์บูดา 21.ฮอนดูรัส 22.เฮติ

ทวีปอเมริกาใต้ มี 13 ประเทศ 1.กายอานา 2.โคลอมเบีย 3.ชิลี 4.ซูรินาเม 5.ตรินิแดดและโตเบโก 6.บราซิล 7.โบลิเวีย 8.ปารากวัย 9.เปรู 10.เวเนซุเอลา 11.อาร์เจนตินา 12.อุรุกวัย 13.เอกวาดอร์

ทวีปแอฟริกา มี 53 ประเทศ 1.กานา 2.กาบอง 3.กินิบิสเซา 4.กินี 5.แกมเบีย 6.โกตดิวัวร์ 7.คองโก 8.คอโมโรส 9.เคนยา 10.เคปเวิร์ด 11.แคเมอรูน 12.จิบูตี 13.ชาด 14.ซิมบับเว 15.ซูดาน 16.เซเชลส์ 17.เซเนกัล 18.เซาโตเมและปรินซิเป 19.เซียร์ราลีโอน 20.แซมเบีย 21.โซมาเลีย 22.ตูนิเซีย 23.โตโก 24.แทนซาเนีย 25.นามิเบีย 26.ไนจีเรีย 27.ไนเจอร์ 28.บอตสวานา 29.บุรุนดี 30.บูร์กินาฟาโซ 31.เบนิน 32.มอริเซียส 33.มอริเตเนีย
34.มาดากัสการ์ 35.มาลาวี 36.มาลี 37.โมซัมบิก 38.โมร็อกโก 39.ยูกันดา 40.รวันดา 41.ลิเบีย 42.เลโซโท 43.ไลบีเรีย 44.สวาซิแลนด์ 45.คองโก 46.แอฟริกากลาง 47.อิเควทอเรียลกินี 48.อียิปต์ 49.เอธิโอเปีย 50.เอริเทรีย 51.แองโกลา 52.แอฟริกาใต้ 53.แอลจีเรีย

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

10อันดับ สัตว์แปลกที่สุดในโลก ปี 2010

ในปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์มีการค้นพบสัตว์แปลกหลากหลายชนิด ซึ่งทางเว็บไซต์ nationalgeographic.com ซึ่งโด่งดังในเรื่องสารคดี โดยทั้งหมดได้รับการคัดเลือกให้เหลือเพียง 10 ชนิดที่เป็น สัตว์แปลกที่สุดแห่งปี 2010 ประกอบด้วย
1. ปลิงที-เร็กซ์(T. Rex Leech)
ความโดดเด่นของมันก็คือ เป็นปลิงดูดเลือดที่มีขนาดยาวถึง 7 ซม.มีฟันขนาดใหญ่คล้ายกับไดโนเสาร์ โดยนักวิทยาศาสตร์ พบว่ามันใช้ฟันขนาดใหญ่เจาะเปิดรู บนร่างของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อดูดเลือดเป็นอาหาร อาศัยอยู่ในแถบป่าอะเมซอน
โดยก่อนหน้านี้พบว่ามันไปอยู่ใน “รูจมูก” ของเด็กสาวชาวเปรูคนหนึ่ง ทำให้นักวิจัยนำไปตรวจสอบ จนกระทั่งทราบว่าเป็นปลิงดูดเลือดยักษ์ จนได้ฉายาว่า “ไทแรนนอบเดลลาเร็กซ์” (Tyrannobdella rex) หรือปลิงจอมทรราชย์ นอกจากนี้ยังมีอวัยวะเพศที่สั้นกว่าปลิงทั่วไปถึง 10 เท่า ความแปลกของมันจึงถูกยกไว้เป็นหนึ่งใน 10 สัตว์แปลกแห่งปี
2. ปลาหมึกยักษ์สีม่วง(New Purple Octopus)
หนึ่งใน 11 สัตว์น้ำสายพันธ์ใหม่ที่มีการค้นพบ  ซึ่งนักวิจัยได้ทำการสำรวจทะเลน้ำลึกนอกชายฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติกของแคนาดา โดยใช้ยาน”โรพอส” (ROPOS)ในการสำรวจนานถึง 20 วัน ซึ่งหนึ่งในสัตว์ที่พบก็คือ เจ้าปลาหมึกยักษ์สีม่วงตัวนี้

3. ค้างคาวโยดา (Yoda Bat)
ดูเผินๆแล้วนี่คงจะเป็นค้างคาวผลไม้ทั่วๆไป และยังไม่มีการยอมรับว่ามันเป็นสัตว์สายพันธ์ใหม่ แต่นักวิทยาศาสตร์ในปาปัว นิวกินีพบว่า มันมีจมูกเป็นหลอด โดยมันมีความสำคัญต่อระบบนิเวศแถบป่าฝนเขตร้อน
จนกระทั่งในเวลาต่อมาก็ได้รับการยอมรับว่ามันเป็นหนึ่งในสัตว์ที่พบใหม่ทั้ง 200 ชนิด ที่ปาปัวนิวกินี และถูกยกให้เป็นหนึ่งในสัตว์แปลก 10 อันดับแห่งปี
4. ทากนินจา (Ninja Slug)
ด้วยความยาวของหางที่ยาวกว่าส่วนหัวถึง 3 เท่า เจ้าทากตัวนี้จึงได้รับขนานนามว่า ทากนินจา เป็นสัตว์สายพันธ์ใหม่ที่พบในแถบภูเขาสูงของเกาะบอร์เนียวตอนบนของประเทศมาเลเซียเท่านั้น ซึ่งการสืบพันธ์ของมัน จะมีการยิงศรรักที่เกิดจากสารแคลเซียมคาร์บอเนตในร่างของมัน เคลือบฮอร์โมน เป็นอาวุธในการผสมพันธ์ได้เป็นอย่างดี
5. ลิงจมูกบี้ (Sneezing Snub-Nosed Monkey)
เจ้าลิงจมูกบี้ตัวนี้ถูกพบในแถบคะฉิ่นของประเทศพม่า จุดเด่นของมันคือ มีเคราสีขาว ตัวเล็ก ปลายหูรวมทั้งหางของมันค่อนข้างยาว นอกจากนี้สายฝน ยังทำให้มันสามารถจามได้เหมือนมนุษย์
เหตุนี้เองทำให้มันมักใช้เวลาในวันฝนตกด้วยการซุกหัวอยู่ในเข่าของตัวเองตลอด การค้นพบดังกล่าวไม่เคยพบในพม่ามาก่อน เพราะมันเคยถูกพบในจีนและเวียดนาม คาดว่าการที่ถูกนายพรานล่าตัวทำให้มันใกล้สูญพันธ์ุ
6. ปลาดุกกินไม้ (Wood-Eating Catfish) 
ความแปลกประหลาดของเจ้าปลาดุกตัวนี้คือนิสัยการกินของมัน ที่มันจะมักกินต้นไม้ที่โค่นลงไปในแม่น้ำซานตาอานา ในประเทศเปรู เป็นอาหาร โดยมีฟันที่เป็นเอกลักษณ์ ขูดเอาสารอินทรีย์จากต้นไม้ใต้น้ำ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การย่อยอาหารที่แปลกกว่าปลาทั่วไปน่าจะเพราะ พวกมันต้องมีจุลินทรีย์ที่ช่วยพวกมันย่อยไม้ ทำให้ย่อยอาหารได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง พบมากในป่าฝนของอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้
7. คางคกซิมป์สัน (The Simpsons Toad)
คางคกซิมป์สัน หรือคางคกจมูกงุ้ม ความยาว2นิ้วตัวนี้พบ ที่ประเทศโคลอมเบีย ทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ โดยนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มันมีตัวยาวแหลม จมูกงุ้ม ทำให้เขานึกถึงมิสเตอร์เบิร์นส์ ในการ์ตูนทีวียอดฮิตเรื่องครอบครัวซิมป์สันของสหรัฐฯ จนได้รับการขนานนามว่า “คางคกซิมป์สัน” นอกจากนี้มันยังมีรูปแบบการเจริญพันธ์ุที่แปลก ต่างจากกบหรือคางคกทั่วไป คือ ไม่มีช่วงการเติบโตที่เป็นลูกอ๊อด แต่พวกมันจะฟักออกจากไข่กลายเป็นตัวได้เลย
8. กิ้งก่าโคลนนิ่ง (Self-Cloning Lizard)
ชาวเวียดนามนิยมรับประทานกิ้งก่าประเภทนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ต่างฉงนกับวิธีการสืบพันธ์ของมัน คือ กิ้งก่าตัวเมียที่สามารถผสมพันธ์ด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งกิ้งก่าตัวผู้ และลูกที่เกิดออกมาจะมีลักษณะเหมือนแม่ทุกประการ จึงถูกตั้งชื่อว่า “กิ้งก่าโคลนนิ่ง”ความโดดเด่นของมันจึงถูกจัดอันดับให้เป็น1ใน10สัตว์แปลกแห่งปี
9. ปลาหมึกหนอน (Squid Worm)
นักวิทยาศาสตร์ได้มีการสำรวจใต้ทะเลนอกชายฝั่ง ฟิลิปปินส์ โดยใช้หุ่นยนต์สำรวจใต้ทะเล โดยในตอนแรกที่พบเจ้าปลาหมึกหนอน นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า มันคือหนอน หรือปลาหมึกกันแน่ เพราะลำตัวที่ยาว 9 ซม.เหมือนกับหนอน แต่ส่วนหัวมีหนวดทั้ง 8 เส้น คอยทำหน้าที่ช่วยหายใจและหาอาหารคล้ายปลาหมึก แต่ในที่สุดก็ทราบว่าเป็นสัตว์สายพันธ์ใหม่ที่เรียกว่า หนอนปลาหมึกแห่งซามา
10. ปลาตีนสีชมพู (Pink Handfish)
ความโดดเด่นของปลาตีนสีชมพู ก็คือ มันสามารถใช้ครีบในการเดินและเคลื่อนไหวบนพื้นทะเล มีความยาว 10 เซนติเมตร มักพบที่เมืองโฮบาร์ต บนเกาะทัสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย ก่อนหน้านี้ไม่มีใครพบสีชมพูมาก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

10 ต้นไม้มหัศจรรย์ที่สุดในโลก

image
อันดับ 10 – Lone Cypress
ต้น Lone Cypress ขึ้นต้องแรงปะทะโดยลมหนาวจาก
มหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ที่ชายหาด Pebble ในมอนทาเร่
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีขนาด
ไม่ใหญ่โตมาก แต่มันตั้งเด่นเป็นสง่า (แบบว้าเหว่)
อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิก


image
อันดับ 9 – Circus
Axel Erlandson เกษตรกรปลูกถั่วคนหนึ่งได้ดัดแปลง
และแกะสลักต้นไม้เป็นรูปร่างและลวดลายที่แสนมหัศจรรย์
จริงๆ เขาได้ตั้งชื่อมันว่าต้น Circus นี่คือตัวอย่างเจ้าต้น
Circus ที่คิดว่ากว่าจะทำได้คงลำบากน่าดู
   image
อันดับ 8 – Giant Sequoias
ต้น Giant Sequoias ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่
ที่สุดในโลก ปลูกใน เซียร์ร่า เนวาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งต้น Giant Sequoias ที่ใหญ่ที่สุดคือพันธุ์ Genaeral
Sherman ตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใน Sequoia
National Park มีลำต้นสูงถึง 275 ฟุต ( 83.8 เมตร)
และหนัก 6,000 ตัน
image
อันดับ 7 – Coast Redwood
ต้น Coast Redwood ถือเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก
โดยเจ้าต้นที่ชื่อว่า Hyperion ใน Redwood National Park
นั้นมีความสูงกว่า 379 ฟุต (115 เมตร) จุดเด่นของมันก็คือ
ต้น Coast Redwood จะประกอบไปด้วยต้นแคลิฟอร์เนีย
เรดวู้ดยักษ์ถึง 4 ต้น ซึ่งมันใหญ่ขนาดที่ว่าเราสามารถขับรถผ่านได้!
image
อันดับ 6 – Chapel – Oak of Allouville – Bellefosse
ต้น Chapel – Oak of Allouvill – Bellefosse เป็น
ต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส มันไม่ใช่เพียงแค่
ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอีกด้วย
ในปัจจุบันบางส่วนของโอ๊คต้นนี้ได้ร่วงเลยไปบ้างแล้ว
ตามกาลเวลา แต่ผู้คนที่นั่นใช้เสาและสายเคเบิ้ลในการ
รองรับต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้


image
อันดับ 5 – Pando
ต้น Pando หรือ Trembling Giant ในรัฐยูท่าห์
ประกอบไปด้วยกว่า 47,000 กิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายไป
ทั่วพื้นที่ 107 เอเคอร์ หนักประมาณ 6,600 ตัน
และมีระบบรากแก้วใต้ดินที่ใหญ่โตมาก เฉลี่ยแล้ว
แต่ละกิ่งก้านนั้นมีอายุประมาณ 130 ปี รวมทั้งระบบ
ของต้น Pando เหล่านี้ศิริอายุร่วม 80,000 ปี


image
อันดับ 4 – Tule
ต้น Tule เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในต้นไม้ตระกูล
Montezuma Cypress ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Oaxaca
ประเทศเม็กซิโก มีขนาดลำต้นโดยรอบ 190 ฟุต
( 58 เมตร) ซึ่งมีความหนาจนผู้คนพูดว่าแทนที่
คุณจะโอบกอดมันมันกลับโอบกอดคุณแทน


image
อันดับ 3 – Banyan
ต้น Banyan ตั้งชื่อตาม banians หรือผู้บุกรุก
ชาวฮินดูที่ทำกิจกรรมต่างๆ ภายใต้ต้นไม้นี้ และ
ต้น Banyan เคยเป็นบ้านต้นไม้ของโรบินสัน ครูโซมาแล้วด้วย


image
อันดับ 2 – Bristlecone Pine
ต้นสน Bristlecone ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่มาก
ซึ่งพันธุ์ Methuselah นั้นจัดเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ที่มีอายุ 4,838 ปี อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 11,000 ฟุต


image
อันดับ 1 – Baobabต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือต้น Baobab หรือ
ต้นขนมปังลิง! (monkey bread tree) 
สามารถ
เติบโตได้ถึง 100 ฟุตและกว้าง 35 ฟุต สิ่งแปลก
ประหลาดของต้นไม้นี้ก็คือ ภายใต้ลำต้นที่บวมนี้
คือ ที่เก็บน้ำที่จุได้มากถึง 120,000 ลิตร
ไว้ใช้ในสภาวะอากาศแห้งแล้ง

โลก (Earth)

โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงโคจรซึ่งใช้เวลา 365.25 วัน  เพื่อให้ครบ 1 รอบ ปฏิทินแต่ละปีมี 365 วัน ซึ่งหมายความว่าจะมี 1/4 ของวันที่เหลือในแต่ละปี ซึ่งทุกๆปีสี่ปีจะมีวันพิเศษ คือจะมี 366 วัน กล่าวคือเดือนกุมภาพันธ์จะมี 29 วัน แทนที่จะมี 28 วันเหมือนปกติ ตามที่เคปเลอร์ค้นพบวงโคจรของโลกไม่เป็นวงกลม ในเดือนธันวาคมมันจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าเดือนมิถุนายน ซึ่งมันจะอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด โลกจะเอียงไปตามเส้นแกน ในเดือนมิถุนายน ซีกโลกเหนือจะเอียงไปทางดวงอาทิตย์ดังนั้น ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูร้อนและซีกโลกใต้จะเป็นฤดูหนาว ในเดือนธันวาคมจะเอียงจากดวงอาทิตย์ ทำให้ซีกโลกเหนือเป็นฤดูหนาวและซีกโลกใต้เป็นฤดูร้อน ในเดือนมีนาคมและกันยายน ซีกโลกทั้งสองไม่เอียงไปยังดวงอาทิตย์ กลางวันและกลาง  คืนจึงมีความยาวเท่ากัน ในเดือนมีนาคม ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ และซีกโลกใต้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนกันยายน สถานการณ์จะกลับกัน 
               โลกมีอายุประมาณ 4,700 ปี   โลกไม่ได้มีรูปร่างกลมโดยสิ้นเชิง เส้นรอบวงที่เส้นศูนย์สูตรยาว 40,077 กิโลเมตร (24,903 ไมล์)และที่ขั่วโลกยาว 40,009 กิโลเมตร (24,861 ไมล์) 
  
              ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ จะมีฤดูกาลเป็นของตนเองและระยะของการโคจร ความยาวของปีดาวเคราะห์เป็นเวลาที่มันหมุนรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ ถ้าคุณอยู่บนดาวพุธ ปีของคุณจะมีเพียง 88 วันของโลก บนดาวพูลโต ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่นอกสุดหนึ่งปีจะเท่ากับ 248 วันบนโลก
ดวงจันทร์               ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โคจรรอบโลกทุกๆ 27 วัน 8 ชั่งโมง และขณะเดียวกันก็หมุนรอบแกนตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียว ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของโลก ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง มนุษย์เพิ่งจะได้เห็นภาพ เมื่อสามารถส่งยานอวกาศไปในอวกาศได้ บนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ และเย็นจัดในวริเวณเงามืด ที่พื้นผิวของดวงจันทร์มีปล่องหลุมมากมาย เป็นหมื่นๆหลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่มีภูเขาไฟและทะเลทรายแห้งแล้ง
               ดวงจันทร์เป็นดวงดาวใหญ่ที่สุด  และสว่างที่สุดในท้องฟ้ากลางคืน  ดวงจันทร์ส่องแสง  แต่แสงที่ส่องนั้นมิได้เปล่งออกมาจากดวงจันทร์เอง  ดวงจันทร์เมื่อได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็จะสะท้อนแสงนั้นออกมา  ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด  แต่ก็ยังเป็นระยะทางไกลมากคือ  ระยะสิบเท่าของเส้นรอบโลกยังสั้นกว่าระยะทางจากโลกไปดวงจันทร์

วัฏจักรของดวงจันทร์                เราทราบแล้วว่า ถ้านับเดือนทางจันทรคติ แล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกหนึ่งรอบ กินเวลา 29 1/2 วัน ถ้าเรานับจุดเริ่มต้นของดวงจันทร์ที่วันเดือนดับ (New moon) เป็นช่วงที่ดวงจันทร์ อยู่เป็นเส้นตรงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงจันทร์ทึบแสง คนบนโลกจึงมองไม่เห็นดวงจันทร์ แล้วก็เป็นวันข้างขึ้นทีละน้อย เราจะเห็นดวงจันทร์สว่างเป็นเสี้ยวทางขอบฟ้าตะวันตก และจะเห็นดวงจันทร์ขึ้นสูงจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับมีเสี้ยวสว่างมากขึ้น พอถึงช่วงวันขึ้น 7-8 ค่ำ ดวงจันทร์จะสว่างครึ่งซีกอยู่ตรงกลางท้องฟ้าพอดี (Quarter) วันต่อมาจะเพิ่มเสี้ยวสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันขึ้น 14-15 ค่ำ ดวงจันทร์จะมาอยู่ตรงเส้น ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก ทำให้ดวงจันทร์เกิดสว่างเต็มดวง (Full moon) หลังจากนั้นดวงจันทร์กลายเป็นข้างแรม ดวงจันทร์จะขึ้นช้าไปเรื่อยๆ จนหายไปในท้องฟ้าจะเห็นเดือนดับ แล้วก็เริ่มต้นใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม เนื่องจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบ เท่ากับมันโคจรรอบตัวเอง 1 รอบพอดี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ดังนั้นเราจึงเห็นดวงจันทร์เพียงซีกเดียวตลอดเวลา