อันดับ 5 D. B. Cooper
ดี บี คูเปอร์ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อเหล้าที่ไหน แต่เป็นนามแฝงสลัดอากาศเครื่องบินผู้โด่งดัง (FBI เรียกเขา ว่า Norjak)เรื่องเกิดขึ้นในสมัยสายการบินที่ไม่มี การจับเอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสาร และไม่มีการทำประวัติผู้โดยสาร
เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1971 ที่เครื่องบินโบอิ้ง 727 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสลัดอากาศคนหนึ่งเลยตนเองว่า ดี บี คูเปอร์ ได้ยึดเครื่องบินพร้อมกับผู้โดยสารไว้เป็นตัวประกันบนลานบิน เขาเรียกร้องเงิน 200,000 ดอลลาร์พร้อมกับร่มชูชีพ เขาได้ไปทั้งสองอย่างที่ต้องการ และเขาได้สั่งนักบินนำเครื่องบินขึ้นกว่าที่นักบินจะนำเครื่องบินลงจอด ชายคนนั้นก็หายกลีบเมฆไปเสียแล้ว โดยเขาโดดร่มสู่ท้องฟ้าครึ้มพายุที่ความสูง 10,000 ฟุต หายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบภาคกลางด้านตะวันตกของสหรัฐอย่างลอยนวล
แม้ การปฏิบัติการที่บ้าบิ่นจะทำให้โจรรายนี้หายสาบสูญไป แต่ผู้คนก็ยังคงติตตาม ดี บี คูเปอร์ ที่คาดว่าเขาและเงินค่าไถ่ยังคงอยู่ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมา 9 ปี เด็กอายุแปดปีพบ เงิน 5,800 เหรียญ ในสภาพฝังอยู่ในสันทรายกลางแม่น้ำโคลัมเบียซึ่งจากหมายเลขธนบัตรและระบุตรง กับเงินค่าไถ่ของสลัดอากาศไม่มีผิดและล่าสุดในปี 2008 มีการพบร่มชูชีพที่ดี บี คูเปอร์ใช้ในเมืองเอ็บเบอร์ แต่ตัวสลัดอากาศดี บี คูเปอร์นั้นจนบัดนี้ยังไม่พบตัว มีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าบางทีเขาอาจจะตายจากเหตุการณ์กระโดดร่มไปแล้วก็ได้ หรือบางทีเขาอาจเคยเป็นทหารที่มีประสบการณ์โดดร่ม แต่จนบัดนี้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาหน้าที่แท้จริง ไม่ มใครรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่ หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตที่สุขสบายไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ก็เป็นไปได้
เรื่องราวของดี บี คูเปอร์ส่งผลให้สายการบินจัดระเบียบใหม่และเริ่มมีการใช้เอ็กซ์เรย์ตรวจจับตรวจสัมภาระผู้โดยสารในที่สุด
อันดับ 4 Comte St Germain
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน
เป็น ที่ปรึกษาข้อราชการของกษัตริย์หลาย พระองค์ในฝรั่งเศส เป็นชายหนุ่มที่เจนจัดสังคม และมีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนฉลาดที่หาตัวจับยากอีกด้วย เนื่องจากเขามีความรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น นักประดิษฐ์, นักวิทยาศาสตร์, นักเล่นไวโอลิน, นักแต่งเพลง. นักการเมือง จนถึงขนามนามว่า “Wonderman” แต่ทว่าเรื่องราวประวัติของเคาท์ เซนต์ เกอร์แมนนั้นยังคงเป็นปริศนาดำมืด และน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า เขาเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือตายเมื่อใด บางคนบอกว่าเขาคือทายาทที่แท้จริงในการสืบทอดราชบัลลังก์ของอังกฤษ, บุตรของกษัตริย์โปตุเกส, หรือลูกนอกสมรสของคนในราชวงค์พระองค์หนึ่ง
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน เริ่มปรากฏตัวในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 23 โดยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศส และยังเป้นที่ไม่ไว้วางใจของบรรดาราชบริพารในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหลุยส์อย่างมาก ในเวลาต่อมาเขาโดนจับขังคุกด้วยเรื่องการเมือง จึงหนีไปอังกฤษ และเสียชีวิตลงเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1784
อันดับ 3 The Man in The Iron Mask
ความ จริงเรื่องชายหน้ากากเหล็กนั้น เป็นวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชาวฝรั่งเศสนาม อเล็กซองด์ ดูมาส์ เขียนขึ้นเมื่อปี 1848 ถูกนำไป สร้างภาพยนตร์หลายครั้งแล้วโดยเรื่องนี้มีเค้าโครงจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ใน ปี 1703 มีชาย ลึกลับคนหนึ่งเสียชีวิตในคุกบาสตีล หลังถูกจองจำมาอย่างยาวนานถึง 34 ปี และเอกลักษณ์ซึ่งผู้พบเห็นเขาไม่มีวันลืมเลยคือใบหน้าเขาถูกคลุมด้วยหน้ากาก สีเข้มมีจดหมายที่เจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสเขียนถึงพระสหายในอังกฤษว่า “มีชายผู้หนึ่งสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดถูกจองจำ มาบัดนี้เขาสิ้นชีวิตลงแล้ว ขณะที่เขาถูกจองจำอยู่นั้นทหารองครักษ์สองคนคอยเฝ้าอยู่มิห่างตา และขู่ว่าจะสังหารเขาทันทีที่เขาถอดหน้ากากออก แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแน่ เพราะว่าเขาจะถูกขังคุก แต่เขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเป็นพิเศษ ………….”
เขาคือใคร?
จากประวัติที่ สืบสาวกันมา เริ่มขึ้นเมื่อปี 1669 ที่เมืองท่าดันเคิร์ก ทางตอนเหนือฝรั่งเศส เมื่อมีข้ารับใช้กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 ได้จับกุมชายนิรนามคนหนึ่งแล้วถูกนำตัวส่งเข้ าคุกลับแห่งปิกเนรอล นครตูลิน ประเทศตาลี(สมัยก่อนเมืองนี้เคยเป็นของฝรั่งเศส) ซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เมอซิเออร์ แซงต์ มาร์ ผู้คุมสูงสุดแห่งคุกแห่งนี้ได้รับข้อความทำนองที่ว่า “นักโทษผู้นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่อง ราวใดๆ ของตัวเองแก่ผู้อื่นเด็ดขา ด เจ้าจะต้องไปหาเขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจัดการเรื่องอาหารและเรื่องสัพเหระใน ชีวิตประจำวันแก่เขา และจงอย่ารับฟังคำใดๆ ที่นักโทษผู้นี้พยายามบอกหากนักโทษยังไม่เลิกราที่จะเล่าเรื่องไร้สาระ เกี่ยวกับตัวเอขาละก็ จงมอบความตายแก่เขาเสีย”
หลัง จากนั้นไม่กี่ปี แซงต์ มาร์ ก็ถูกย้ายไปอยู่คุกที่อื่น แต่ยังรับมอบหมายให้ย้ายนักโทษลึกลับนี้ไปอยู่ด้วยกันเสมอ และการย้ายแต่ละครั้ง เขาต้องอยู่ ที่เกี๊ยวที่ปิดมิดชิดกันการสอดรู้สอดเห็นของผู้คนตลอดทาง จนบางครั้งแซงต์ มาร์เกรงว่านักโทษจะตายในเกี๊ยวเหมือนเตาอบเสียก่อ
ว่า กันว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ชายหน้ากากเล็กนั้นพยายามที่จะสื่อสารกับคนภายนอกโดยการเขียนข้อความบน แผ่นโลหะแล้วโยนออกไปจากหน้าต่างที่คุมขังของเขา เผอิญมีชาวประมงคนหนึ่งมาพบเห็น จึงนำของสิ่งนี้ให้กับผู้คุมคุกโดยเห็นว่าอาจเป็นของสำคัญ และทันทีที่ผู้คุมเห็นข้อความนี้ก็จะลงมือตัดศีรษะชาวประมงคนนี้อยู่แล้ว แต่โชคดีที่ชาวประมงนี้อ่านหนังสือไม่ออกจึงปล่อยไป
งานของ แซงค์ มาร์ ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งปี 1698 เขาได้รับตำแหน่งใหญ่ประจำคุกบาสตีล แห่งนครปารีส แต่ภารกิจในการกักขังและปกปิดชายหน้ากากเหล็กยังมีอยู่ พร้อมกับปริศนาที่ว่าชายคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงสำคัญหนักหนา และมีข้อสันนิษฐานที่เป็นยอมรับทุกฝ่ายคือ เขาน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ และต้องมีความสำคัญเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตทิ้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทีจะปล่อยเขาเป็นอิสระ
ถ้าเป็นในหนัง หรือในนิยายเชื่อกันว่าชายสวมหน้ากากเหล็กนี้คือ พี่น้องฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดย ทั้งสองเป็นบุตรของดาตัญญัง หัวหน้าราชองครักษ์กับพระราชินีแอนน์แห่งออสเตรีย โดยสาเหตุที่จองจำน้องไว้ภายใต้หน้ากากก็เพราะเพื่อให้บัลลังก์ผู้พี่เกิด ความมั่งคงนั้นเอง
หรือจะเป็นข้อสันนิษฐานของ ลอร์ด ควิก ส์วูด เชื่อว่าชายสวมหน้ากากเหล็กก็คือบิดาแท้ๆ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยแนวคิดนี้มีผู้เชื่อถือกันไม่น้อย โดยให้เหตุผลคือเพื่อความมั่งคงของชาติ แต่ห้ามประหารเพราะสมัยนั้นข้อบังคับของศาสนายังเป็นเรื่องเคร่งครัด การสังหารบิดาแท้ๆ เป็นความผิดใหญ่หลวง และพระเจ้าหลุยส์เองก็ไม่กล้าสังหารบิดาตัวเองจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ สุดยอดภายใต้ชายหน้ากากเหล็กตลอดกาล
แต่ หลังจากที่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ได้ราวสองปี ข่าวลือเกี่ยวกับชายหน้ากากเหล็กจึงกล่าวถึงอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วชายคน นี้คือพระเจ้าหลุยส์ 14 นั้นเอง เอาเข้าไป เพราะผลสรุปออกมาแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ ตัวนโปเลียนที่ก้าวมามีอำนาจหลังการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์หลุยส์ที่ 16 มากกว่า
แม้จนบัดนี้เวลาจะล่วงเลยมากว่าสามร้อยปีแล้ว แต่ปริศนาชายสวมหน้ากากเหล็กยังไร้คำตอบตายตัว ทราบแต่ว่าหลังจากชายหน้ากากเหล็กสิ้นชีวิตลงในคุกบาสตีล ศพของเขาถูกฝังภายใต้ชื่อ Eustache Dauger ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นภายหลังเท่านั้น ส่วนหลักฐานอื่นๆ สูญหายหมด ห้อ งคุมขังถูกทาสีใหม่เพื่อป้องกันร่องรอยบางอย่างที่อาจหลงเหลืออยู่ โต๊ะเก้าอี้ภาชนะทุกชิ้นถูกเผาทิ้งไปเกือบหมดสิ้น
แม้แต่หน้ากากเหล็กก็ถูก นำไปหลอมใหม่เพื่อยุติการสืบค้นตำนานของชายที่ยังเป็นปริศนาอยู่ทุกวันนี้
อันดับ 2 Gil Perez
Gil Perez เป็นชื่อของทหารสเปนลึกลับที่จู่ๆ เขาก็ไปปรากฏตัวที่เมืองเม็กซิโก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1593 เขาแต่งเครื่องแบบแปลกๆ เขาได้อ้างว่าเขาถูกพลังลึกลับอย่างหนึ่งพัดพาเขามายังประเทศนี้
เรื่อง นี้เป็นเล่าเก่าแก่ ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ ส่วน เขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ โดยเขาอ้างหลักฐานตนเองว่าที่ฟิลิปปินส์ผู้ว่าที่เขาประจำที่นั้นถูกลอบ สังหาร หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยืนยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ อีกทั้งผู้โดยสารเรือบางคนก็อ้างว่ารู้จักกับ Gil Perez และสาบานได้ว่าเห็นเขาอยู่ในฟิลปปินส์เมื่อวันที่ 23
สุดท้าย Gil Perez ก็ได้กลับฟิลิปปินส์และชีวิตหลังจากนั้นของเขาก็หายไป ไม่มีใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาอีกเลยจัดกระทั่งบัดนี้ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์ลึกลับนี้ซึ่งสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือเทเลพอเทชั่น (Teleportation) พลังลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลาง ทั้งยังบังคับได้จากระยะไกล
เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้ นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนในเวลาต่อมา
อันดับ 1 Green Children of Woolpit
บ่ายวันหนึ่งแห่งเดือนสิงหาคม ค.ศ.1887 เด็กสองคนจูงมือกัน เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งที่เชิงผาใกล้หมู่บ้านบานโฮเซ ในประเทศสเปน เข้าไปในนาซึ่งคนงานกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ เด็กสองคนนั้นเดินออกมาจากปากถ้ำอย่างปราศจากอาการหวาดกลัว ทั้งสองคนพูดภาษาที่แปลก และกระท่อนกระแท่น ไม่ใช้ภาษาสเปน และภาษาใดในโลก กับทั้งเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ประกอบด้วยวัสดุที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและที่ ประหลาดที่สุดก็คือผิวกายของเด็กทั้งคู่ไม่เหมือนคนธรรมดา ทั่วไป กล่าวคือเป็นสีเขียวขจี เมื่อพิจารณาดูลักษณะของตาเหมือนคนเอเชียมาก นัยน์ตากลมเหมือนผลมะนาว และลึก
พวกชาวนาพากันวิ่งกรูเข้าไปหาเด็ก สองคนนั้น ฝ่ายเด็กก็ตื่นตกใจและออกวิ่ง ผู้คนเลยแตกตื่นวิ่งไล่ตาม ในที่สุดก็ตามทันและจับตัวไว้ได้นำไปที่หมู่บ้านทั้งสองคนถูกนำตัวไปที่บ้าน ของริคาร์โด ดา คาลโน ผู้ซึ่งเป็นทั้งนคราภิบาล และเจ้าของที่ดินคนสำคัญของหมู่บ้าน
ดา คาลโนพยายามพูดจากับเด็กคู่นั้น ส่วนคนอื่นๆ โผล่หน้าต่างดู เขาจับมือขวาของเด็กผู้หญิงยกขึ้นดู ปรากฏว่าสีเขียวติดแน่น จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อของผิวกายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กคนนั้นดึงมือกลับ แล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เจ้าของบ้านจัดอาหารมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเด็กทั้งสอง แต่เด็กก็ไม่รับประทาน หยิบขนมปังขึ้นมาถือไว้แล้วหยิบผลไม้ แต่ก็เพียงมองดูด้วยความแปลกใจ ไม่ยอมเอามันเข้าไปใกล้ปาก เด็กทั้งสองพักอยู่ในบ้านนั้น 5 วัน ไม่กินอะไรเลยจนสังเกตเห็นได้ว่าอ่อนเพลีย จนในที่สุดเด็กชายก็เสียชีวิตจากไปเพราะร่างกายอ่อนแอ หลังจากมาที่ปรากฏตัวได้ที่นั่นหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ได้ถูกฝังไว้ในสุสานของหมู่บ้าน
อย่างไรก็ตามส่วนเด็กหญิง กลับแข็งแรงดี และทำหน้าที่เป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านของ ดา คาลโน ผิวกายที่เป็นสีเขียวค่อยๆ จางลง หลังจากนั้น 2-3 เดือนเธอก็พูดภาษาสเปนได้บ้าง จึงสามารถให้ถ้อยคำชี้แจงแก่ดา คาลโนได้ถึงเรื่องราวในการมาของเธอ แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้ความลึกลับที่มีอยู่แล้วกลับมีมากยิ่งขึ้น
เธอ บอกว่าเธอมาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น และมีแสงสนธยาอยู่เสมอเป็นนิจ “มีดินแดนที่มีแสงสว่างแลเห็นอยู่ห่างไกลจากเรา แต่ถูกสกัดกั้นโดยธารน้ำที่กว้างมาก” ต่อคำถามที่ว่าทั้งสองคนมาสู่พิภพของเราได้อย่างไร เธอตอบได้แต่เพียงว่า “มีเสียงหนึ่งดังมากขึ้น และเสียงนั้นเองที่ตรึงจิตใจของเรา เราจึงมาตามเสียงนั้นและได้พบตัวเองมาอยู่ในทุ่งนาที่กำลังมีการเก็บเกี่ยว”
นั่น คือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่าให้ฟัง เด็กผู้หญิงมีชีวิตอยู่อีกห้าปี แล้วเธอเองก็ตายตามไปอีกคนนึ่ง ศพของเธอถูกฝังไว้เคียงข้างกับศพพี่(หรือน้อง) ชายของเธอ
นี้ เป็นเรื่องจริงปรัมปราที่เล่ากันมาในอดีต หรือเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงกันแน่??**